The Cloverfield Paradox
รีวิว The Cloverfield Paradox
Cloverfield เป็นหนังม้ามืดที่โปรเจ็กต์มักเป็นความลับมาเสมอตั้งแต่ภาคแรก เมื่อปี 2008 ที่มาแบบงง ๆ แล้วก็แหวกแนวกับการใช้รูปแบบ found footage อย่างหนัง The Blair Witch Project (1999) มาถ่ายทอดเรื่องราวแนวไซไฟได้อย่างน่าตื่นเต้น ยิ่งมาภาคสอง 10 Cloverfield Lane (2016) ก็เปิดตัวแบบปุ่บปั่บอย่างที่แฟน ๆ ตั้งตัวไม่ทัน และเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นหนังไซไฟจิตวิทยาที่ชวนกดดันและน่าขนลุกกับความผิดปกติของมนุษย์ด้วยกันเอง รีวิว The Cloverfield Paradox
เรื่องย่อ
เรื่องราวถึงเหตุการณ์ในช่วงปี 2018 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกถึงภาวะวิกฤตขาดแคลนพลังงาน ดังนั้นนานาประเทศมหาอำนาจทั่วโลกจึงต้องร่วมกันในการแก้ไขปัญหานี้ ก่อนที่จะเกิดสงครามแย่งชิงพลังงานไปทั่วโลก
เหล่านักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกะทิแขนงต่างๆ จึงถูกเรียกมารวมตัวกันเพื่อทำการทดสอบเครื่องเร่งอนุภาค “เชพพาร์ด” บนสถานีอวกาศ “โคลเวอร์ฟีลด์” ซึ่งหากการทดลองการยิงอนุภาคนี้เป็นผลสำเร็จ จะช่วยให้เกิดพลังงานอนัต์ที่นำมาใช้ได้ไม่มีวันหมด
สำหรับภารกิจนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ทุกคนต้องเดินทางขึ้นไปประจำการและทำการทดลองบนสถานีอวกาศ “โคลเวอร์ฟีลด์” ที่โคจรอยู่เหนือชั้นบรรยากาศของโลก และในระหว่างการทดลองยิงเครื่องเร่งอนุภาคนี้ ก็ได้เกิดข้อผิดพลาดขึ้น ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อโครงสร้างของมิติเวลา จนทำให้เกิด Time Paradox ขึ้น และนั่นเอง คือสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องราวสยองขวัญที่เกิดขึ้นตามมามากมาย
เกริ่นกันเล็กน้อยสำหรับซีรียส์ Cloverfield โดยผลงานโปรดิวซ์ของ J.J. Abrams นี้ จุดเริ่มต้นมาจากภาพยนตร์ Cloverfield ในปี 2008 ซึ่งเป็นแนว found-footage horror (เล่าเรื่องผ่านกล้องวิดีโอแบบบ้านๆ) ที่ได้รับคำชมอย่างมาก เพราะค่อนข้างแปลกใหม่ + นำเสนอออกมาเรียลๆ ผ่านมุมมองของคนทั่วไปที่ประสบมหันตภัยระยะใกล้ชิดกับ ‘สัตว์ประหลาด’ บางอย่างที่มารุกราน
เป็นอีกหนึ่งจักรวาลภาพยนตร์ที่ “ความลับ” เยอะแยะเต็มไปหมด ตั้งแต่เริ่มต้นในหนังภาคแรกอย่าง Cloverfield ในปี 2008 ที่เปิดกระแสหนังสัตว์ประหลาดกล้องสั่นไหว จนหลายคนเดินออกมาอาเจียนนอกโรงหนัง แต่ความสนุกยิ่งกว่าการดูหนัง คือการทำมาร์เกตติ้งของหนังเรื่องนี้ที่หยิบจับเอา Easter Egg หรือ จุดเชื่อมโยงในจักรวาลเดียวกันซึ่งถูกแอบซ่อนอยู่ในฉากต่างๆ ในเรื่อง จนบรรดาแฟนหนังทำเว็บไซต์แฟนคลับของหนังเรื่องนี้ออกตามกันมาเลยทีเดียว
8 ปีผ่านไปกว่าที่หนังภาคที่เกี่ยวข้อง (เราไม่สามารถเรียกว่าภาคต่อได้เนื่องจากไม่ทราบหนังเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหนของไทม์ไลน์นี้กันแน่) กับ 10 Cloverfield Lane ที่เล่าเรื่องราวฉุกละหุกที่เกิดขึ้นในบังเกอร์หลบภัยใต้ดิน ก่อนที่นางเอกของเรื่องจะหนีรอดออกมาและค้นพบความจริงเกี่ยวกับเอเลี่ยนที่น่าตื่นตระหนก
มาภาคนี้โปรดิวเซอร์ใหญ่อย่างพ่อมดฮอลลีวู้ดคนใหม่ เจ.เจ. อับรามห์ส ได้เลือกผู้กำกับเล็ก ๆ แต่มีแววมาลองปั้นเช่นเดียวกับที่เคยเลือก แมตต์ รีฟส์ มาทำภาคแรกจนตอนนี้เป็นผู้กำกับชั้นนำอีกคนของวงการที่กำลังมีโปรเจ็กต์อย่าง The Batman ในมือ รอบนี้เป็นผู้กำกับที่มีผลงานหนังสั้นมานับครั้งไม่ถ้วนอย่าง จูเลียส โอนาห์ มาลองทำหนังใหญ่ดู
นอกจากจะเป็นการมาหนังใหม่เต็มเรื่องแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงเช่นเคยแล้ว ยังช็อกใหญ่ด้วยการฉายทางบริการสตรีมมิ่งวิดีโออย่าง เน็ตฟลิกซ์ เท่านั้นด้วย แล้วปล่อยตอนไหน ตอนที่โฆษณาเปิดตัวในช่วงการแข่งกีฬาซูเปอร์โบรลว์ของอเมริกาปุ๊บ ก็ลงจอให้ชมกันเลย คือเซอร์ไพร้สสุด ๆ
เหมือนว่า ความคาดเดาไม่ได้ นอกจากจะเป็นลายเซ็นของโปรดิวเซอร์ที่กุมทุกอย่างเป็นความลับขั้นสุดอย่าง เจ.เจ. แล้ว ยังกลายเป็นแนวทางของหนังชุดนี้ที่เล่นกับความสงสัยของคนดูแบบไม่สิ้นสุดเลยด้วย
เนื้อเรื่อง
หนังเล่าเรื่องของทีมนักวิทยาศาสตร์ ที่ถูกรวมตัวจากทั่วโลกขึ้นไปทำภารกิจบนดาวเทียมเพื่อทดลองยิงอนุภาคฮิกโบซอนกำเนิดพลังงานอนันต์ ซึ่งจะช่วยยับยั้งสงครามจากความขาดแคลนพลังงานที่เกิดทุกหย่อมหญ้าบนพื้นโลก โดยแต่ละคนก็จะมาจากประเทศมหาอำนาจของโลกเพื่อคานอำนาจกัน
โดยมีตัวแทนจากอเมริกาทำหน้าที่เหมือนหัวหน้าชุด ส่วนตัวเอกที่เป็นสายตาแทนผู้ชมนั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์สาวจากอังกฤษ หลังการทดลองล้มเหลวมากว่า 2 ปี บนอวกาศ เรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีการทดลองครั้งล่าสุดนั้นเอง เราคงเล่าได้เพียงเท่านี้เพราะการดุแบบไม่ต้องรู้อะไรเลยน่าจะเป็นมนตร์เสน่ห์ของหนังชุดนี้อย่างหนึ่งเลยครับ แต่คงบอกได้เพียงว่า หนังเซอร์ไพร้สเราได้ทุกจังหวะการเล่าเลย คิดว่าจะไม่มีอะไรแล้ว ก็มีอะไรเจ๋ง ๆ มายั่วความสงสัยและระเบิดสมองเราไปพร้อมกันทีเดียว
การดำเนินเรื่อง(สปอยล์)
หนังน่าจะเล่าย้อนไปก่อนเหตุการณ์ในภาคแรก ที่ตอนแรกเราคิดว่าสัตว์ประหลาดเกิดจากการทดลองบางอย่างของญี่ปุ่น มาภาคนี้ก็เฉลยแล้วว่าเกิดจากการทดลองยิงอนุภาคเพื่อกู้วิกฤตพลังงานนี้นั่นเอง เหตุการณ์ประหลาดทั้งหลายเกิดจากการชนกันของมิติ 2 มิติ เนื่องจากเจ้าเครื่องยิงอนุภาคไปเปิดรอยต่อเข้า
ผลที่เกิดบนโลกคือเกิดสัตว์ประหลาดจากมิติอื่นเข้ามาอยู่บนโลกตามที่ดูมาในภาคแรก (ส่วนเอเลี่ยนในภาค 2 นั้นน่าจะเกิดหลังจากนี้ไปอีก หรือเป็นอีกมิติหนึ่งไปเลย) ส่วนผลที่เกิดบนยานคือตัวตนที่ซ้ำกัน ฝั่งหนึ่งตายเกลี้ยง อีกฝั่งรอด นี่คือเหตุผลว่าทำไมเจนเซ่นถึงรอดมาจากยานตกได้ เพราะเธอกับแทมเป็นคู่เดียวที่เป็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างสองทีมนี้
ผลที่เกิดขึ้นอีกอย่างคือบางตัวตนเกิดการกลืนกัน อย่างที่เกิดกับตัวละครโวลคอฟที่มีความทรงจำของอีกโลกหนึ่งเข้ามาแทรกจนทำให้เขาพยายามสังหารชมิดท์ ในขณะที่ตัวตนอีกโลกของโวลคอฟเองอาจจะทำอะไรบางอย่างกับหนอนและบอลไจโรไว้ ทำให้แขนของมันดี้จากอีกโลกจึงเขียนบอกที่อยู่ของลูกบอลที่หายไปได้อย่างถูกต้อง
และความลักลั่นไม่ใช่เพียงกายภาพที่เกิดขึ้นเท่านั้น ในด้านของจริยธรรมก็ท้าทายพอ ๆ กับฉากเรือสองลำในหนัง The Dark Knight เลยทีเดียว ว่าสุดท้ายการทอดทิ้งโลกใบใดใบหนึ่งจะเป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือไม่ และถ้าต้องเลือกเราจะช่วยโลกใบไหนกัน ซึ่งตรงนี้คือความหมายของชื่อเรื่องที่เป็นความลักลั่นอย่างแท้จริง
ภาค Cloverfield Paradox และภาคแรก Cloverfield เชื่อมโยงกันอย่างไร?
เรื่องราวใน Cloverfield Paradox นับเป็นทั้งภาคต้นและภาคต่อของ Cloverfield ภาคแรก เพราะแม้เหตุการณ์ในหนังที่เป็นเวลา "ปัจจุบัน" จะเกิดขึ้นในปี 2028 แต่ข้อผิดพลาดจากการใช้เครื่องเร่งอนุภาคที่ทำให้เกิดความสับสนของช่วงเวลานั้นก็ส่งผลกระทบโดยตรงถึงเหตุการณ์ใน "อดีต" ของภาคก่อนอย่าง Cloverfied เช่นกัน
ในจุดนี้ ถือว่า Cloverfield Paradox สามารถไขปริศนาที่มาของเหล่าสัตว์ประหลาดและเอเลี่ยนบุกโลกมนุษย์ในภาค Cloverfied ที่แฟน ๆ เคยตั้งคำถามเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม
แล้วภาคต่อ Cloverfield Paradox กับภาคสอง 10 Cloverfield Lane มีจุดเชื่อมโยงหรือไม่ ?
แม้เรื่องราวในหนังทั้งสองภาคอาจจะไม่ได้ดูเกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าหนึ่งในตัวละครหลักของทั้งสองภาคนั้นใช้นามสกุลเดียวกันอย่าง โฮวาร์ด สแตมเบลอร์ จาก 10 Cloverfield Lane และ มาร์ค สแตมเบลอร์ จาก Cloverfield Paradox โดยมีผู้สังเกตว่าที่หลบภัยของ มาร์ค สแตมเบลอร์
![รีวิว The Cloverfield Paradox รีวิว The Cloverfield Paradox](https://reviewnanghome.files.wordpress.com/2020/10/the-cloverfield-paradox.jpg?w=426)
ในตอนท้ายเรื่อง Cloverfield Paradox มีแนวโน้มว่าอยู่ในบริเวณเดียวกับที่หลบภัยของ โฮวาร์ด สแตมเบลอร์ เมื่อวันโลกาวินาศใน 10 Cloverfield Lane ทั้งนี้ ก็ไม่แน่ว่า ปีเตอร์ เจ้าของที่หลบภัยของ มาร์ค สแตมเบลอร์ ใน Cloverfield Paradox อาจเป็นร่างในโลกคู่ขนานอีกมิติหนึ่งของ โฮวาร์ด สแตมเบลอร์ ที่วิกฤตความสับสนของช่วงเวลาได้พาให้ทั้งสองได้มาพบกันในภาคนี้ก็เป็นได้
ด้านนักแสดง
หนังมีดาราหน้าคุ้นเคยมาสมทบกันมากมาย แม้จะไม่มีดาราใหญ่จริง ๆ เลยสักคน ที่เราคุ้นหน้าสุดก็คงเป็นดาราจีนอย่าง จางซิยี่ จากนั้นก็เป็น ดาเนียล บรูห์ล หรือ บาราอนซีโม่ จากหนัง Captain America 3: Civil War นอกนั้นก็เป็นดาราที่คุ้น ๆ หน้าจากบทตัวประกอบในหนังดัง ๆ เสียมากกว่า
ซึ่งก็เป็นข้อดีที่ทำให้เราเชื่อในตัวละครได้เร็วเพราะไม่ติดภาพเดิม และยังสามารถปิดความลับการมีอยู่ของโปรเจ็กต์หนังออนไลน์ได้ง่ายด้วย ซึ่งต้องบอกว่านักแสดงเล่นกันได้ดีสมกับชื่อชั้นที่คร่ำหวอดกันมานาน แม้บทหนังจะเด่นนำไปมาก แต่ก็สามารถพยุงตัวให้มีซีนที่น่าจดจำของตนเองได้ การกำกับของโอนาห์ก็ถือว่าคุมหนังสเกลใหญ่ได้ดีพอควร
แต่ถ้าเทียบกับงานธริลเลอร์ชั้นยอดในภาค 2 ของผู้กำกับ แดน ทราชเทนเบิร์ก แล้วก็ยังห่างชั้นในการสร้างความกดดันสุดกู่ให้กับคนดูอยู่มาก ความประทับใจจึงไม่ได้อยู่ที่วิธีการเล่าเท่าหนังภาค 2 และไม่ได้โชว์วิช่วลแบบไซไฟได้อลังเท่าภาคแรก ทำให้ภาค 3 นี้เป็นงานที่ดีพอดีตัวอยู่กลาง ๆ เป็นหนังบันเทิงที่ชวนให้ขบคิดตาม และสร้างข้อสนทนาหลังการดูได้พอสมควรครับ
โดยรวม
ทั้งนี้ Cloverfield Paradox ถือเป็นภาคต่อที่สามารถไขปริศนาเชื่อมโยงเรื่องราวในจักรวาลพิศวงให้เป็นหนึ่งได้อย่างดี แต่ทีมผู้สร้างก็ยังคงเดินหน้าสร้างภาคต่อถัดไปขยายห้วงมิติเวลาอื่นอย่างไม่รอช้า โดยประกาศเตรียมฉายภาคสี่ Overload ในเดือนตุลาคม 2018 ซึ่งคราวนี้เหตุการณ์ในหนังจะเกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในวันก่อนวัน D-Day แต่ก็ไม่แน่ว่าภาคต่อ Overload อาจมีเซอร์ไพรส์ออกฉายเร็วกว่ากำหนดเช่นเดียวกับภาค Cloverfield Paradox
ถ้าถามในแง่ของความแปลกใหม่หรือโดดเด่นสำหรับ The Cloverfield Paradox ค่อนข้างจะเป็นหนังที่ดู “ธรรมดา” เกินไปหน่อยในจักรวาลนี้ แต่ถ้าถามว่าหนังเลวร้ายจนดูไม่ได้หรือเปล่า ก็ต้องตอบว่าไม่ เพียงแค่เหมือนเป็นหนัง “คั่นเวลา” ที่โผล่เข้ามาเพื่อทำให้มีประเด็นต่างๆ ในจักรวาลนี้มากขึ้นเท่านั้นเอง
สรุป
ถึงจะไม่ใช่ภาคที่พีคสุดของหนังชุด Cloverfield แต่ก็ดูสนุกใช้ได้โดยเฉพาะช่วงต้นเรื่องถึงกลางเรื่องที่ชวนให้สบถ wtf กับการคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยสักอย่าง ทั้งยังเป็นตัวต่อสำคัญในการทำความเข้าใจหนังทั้งชุดนี้ด้วย ใครมีเน็ตฟลิกซ์อยู่ห้ามพลาดเลยครับ ส่วนใครยังไม่มีแนะนำกดทดลองฟรีเลยแล้วคุณจะติดใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น