Ozark
รีวิว Ozark Season 1 - โอซาร์ก
โอซาร์ก ซีรีส์ออริจินัลจาก Netflix ที่ได้รับรางวัล Emmy Award สาขากำกับยอดเยี่ยม ซึ่งหลายๆ คน อาจจะยังไม่รู้จักเรื่องนี้ โดยเนื้อหาในเรื่องมันจะเกี่ยวกับอาชญากรรมที่คลับคล้ายคลับคลากันกับซีรีส์ขึ้นหิ้งชื่อดังอย่าง Breaking Bad และจุดเด่นของซีรีส์ก็คือความกดดัน ลุ้นระทึกไปกับพฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้ของแต่ละตัวละคร รีวิว Ozark Season 1
เรื่องย่อ
มาร์ติน ‘มาร์ตี้’ เบิร์ด (Jason Bateman จากหนังเรื่อง Central Intelligence, Zootopia และ The Gift) ที่ปรึกษาทางด้านการเงินผู้มีปัญญาที่ชาญฉลาดและยังมีวาจาวาทะที่ยอดเยี่ยมที่ชิคาโก แต่เพราะผู้ร่วมธุรกิจของเขาดันไปโกงพ่อค้ายาเสพติดตัวเอ้เข้า เมื่อเข้าถึงตาจน มาร์ตี้จำเป็นต้องรักษาทั้งชีวิตตัวเองและครอบครัวไว้ เขาจึงมีข้อเสนอ เขาจะใช้ความสามารถในวิชาการฟอกเงินที่เขามี นำเงินที่พ่อค้ายาเสพติดคนนั้นถูกโกงไปคืนมาให้ และวิธีการของเขาก็คือการถอนเงินทุกดอลล่าร์ออกไปจากธนาคาร และย้ายถิ่นฐานไปอยู่ยังมิสซูรี ที่นั่งมีทะเลสาบที่เกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อน ที่นั่นยังห่างไกลสายตาของฝ่ายตรวจสอบ ทว่า เหตุฆาตกรรมของผู้ร่วมธุรกิจกับพฤติกรรมการย้ายรกรากแบบกะทันหันก็ทำให้เอฟบีไอสนใจ การย้ายไปทำธุรกิจฟอกเงินถึงโอซาร์กเพื่อส่งเงินคืนให้พ่อค้ายาตัวเอ้จึงไม่ใช่สิ่งง่ายอย่างที่คิด
จบไปแล้ว 2 ซีซัน ซีซันละ 10 ตอน ชนิดที่เข้มข้นน่าติดตามทุก ๆ ตอนเลยก็ว่าได้ ดูไปก็ยังแปลกใจว่าซีรีส์สนุกขนาดนี้ แต่ทำมั้ยทำไมไม่มีใครพูดถึงซีรีส์เรื่องนี้เลย งั้นขอทำหน้าที่แนะนำซีรีส์น้ำดีเรื่องนี้เองแล้วกัน Ozark เป็นผลผลิตของ NETFLIX เริ่มแพร่ภาพเมื่อ กรกฎาคม 2017 แล้วจบซีซัน 2 ไปเมื่อ สิงหาคม 2018 จากนั้นก็ทิ้งช่วงมาปีกว่าแล้ว ทิ้งให้แฟน ๆ รอคอยกันข้ามปี เพราะมีข่าวแว่ว ๆ ว่า ซีซัน 3 จะมาต้นปี 2020
Ozark เป็นซีรีส์ที่สร้างสรรค์โดย บิล ดูบิวค์ และ มาร์ก วิลเลียมส์ ทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน The Accountant หนัง เบน แอฟเฟล็ก และ A Family Man หนังที่เจอร์ราร์ด บัตเลอร์ รับบทนำ โดยที่ บิล ดูบิวค์ รับหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์ และ มาร์ก วิลเลียมส์ ทำหน้าที่อำนวยการสร้าง
เนื้อเรื่อง
เห็นได้ชัดว่าหนังของ บิล ดูบิวค์ จะพัวกันเกี่ยวกับเรื่อง นักบัญชีฟอกเงิน, มาเฟีย อย่างใน The Accountant และการแบ่งน้ำหนักระหว่างงานและครอบครัวอย่างใน A Family Man ซึ่งบิลก็เอาใจความหลักจากทั้งสองเรื่องนี้ล่ะ ผสมรวมออกมาเป็น Ozark เรื่องราวของ มาร์ติน เบิร์ด รับบทโดย เจสัน เบตแมน เขาเป็นนักบัญชีมือฉกาจเปิดบริษัทรับทำบัญชี แต่กล้วก็หวังรวยทางลัดเลยไปรับงานฟอกเงินให้กับ “เดล” มาเฟียจอมโหด ชีวิตก็ดูราบรื่นดีผ่านไปจน 5 ปี ความซวยก็มาเยือน
เมื่อเดลจับได้ว่าบริษัทนี้ยักยอกเงินเขาไปหลายล้านเหรียญ ซึ่งเป็นฝีมือของบรู๊ซ หุ้นส่วนของมาร์ตินนั่นเอง แต่มาร์ตินก็เอาชีวิตรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ด้วยวาทศิลป์ที่เป็นพรสวรรค์ติดตัวมาแต่กำเนิด และไหวพริบระดับอัจฉริยะ มาร์ตินเสนอไอเดียหรูเลิศให้กับเดล ถ้าไว้ชีวิตเขาแล้วจะมีประโยชน์กว่า เขาสามารถฟอกเงินให้กับเดลได้อีกเป็นร้อยล้าน เพราะมีช่องทางลงทุนในเมืองตากอากาศอันสงบสุขที่ชื่อ โอซาร์ก มาร์ตินเห็นจากโบรชัวร์ท่องเที่ยวเพียงแวบเดียว วาจาหว่านล้อมเป็นผลสำเร็จ
มาร์ตินและครอบครัวเบิร์ดที่ประกอบไปด้วย เวนดี้ ภรรยา ชาร์ลอตต์ ลูกสาวคนโต และโจนาห์ ลูกชายคนเล็ก ต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ใน Ozark เมืองริมอ่าวอันเงียบสงบในรัฐมิสซูรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดเล็กที่ผู้คนนิยมมาล่องเรือ และเล่นเจ็ตสกีกัน
และนี่คือจุดเริ่มต้นดูหนังฟรีของเรื่องราวที่ครอบครัวเบิร์ดจะต้องเผชิญกับวิบากกรรมครั้งใหญ่ในชีวิต ที่เดล คอยตามเฝ้าติดตามผลงานฟอกเงินของเขาอย่างใกล้ชิด แล้วยังต้องเผชิญกับผู้คนมากหน้าหลายตาในเมืองโอซาร์ก ซึ่งมีทั้งผู้เป็นมิตรและศัตรู ซึ่งแต่ละตัวล้วนมีบทบาทสำคัญกับเนื้อเรื่องอย่างเข้มข้น 3 พี่น้องแลงมัวร์ นักเลงกระจอกประจำท้องถิ่นที่ผลัดกันเข้าออกคุกเป็นว่าเล่น
พวกนี้มองเห็นมาร์ติน เบิร์ด ที่มาพร้อมกับเงินสดหลายล้านเป็นขุมสมบัติของพวกมัน, ผัวเมียตระกูลสเนลล์ มาเฟียค้ายารายใหญ่เจ้าของพื้นที่เมืองโอซาร์ก และรอย เพ็ตตี้ FBI ตัวร้าย ที่ตามกัดตามจิกมาร์ติน เบิร์ด มาตั้งแต่ตอนที่อยู่ชิคาโก แล้วตามร่องรอยมาถึงโอซาร์ก แล้วก็ยังมี ชาร์ล วิลก์ นักการเมืองใหญ่ประจำโอซาร์ก ที่ครอบครัวเบิร์ดจำต้องผูกมิตรไว้เพื่อหนทางที่ราบรื่นในอนาคต
Ozark Season 1 ปฐมบทแห่งความหายนะ
ในโอซาร์ก ซีซั่นแรก จะเป็นเรื่องราวของนักจัดการวางแผนทางการเงิน (Finalcial Planner) ที่ชื่อว่า มาร์ตี้ เบิร์ด (แสดงโดย Jason Bateman) ชายวัยกลางคนที่พยายามหาเงินเพื่อมาเลี้ยงดูจุนเจือครอบครัวตามประสา จนจับพลัดจับผลูได้เข้าไปหาเงินก้อนโตจากการฟอกเงินให้พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ แต่แล้วหุ้นส่วนของเขาดันไปโกงพ่อค้ายาคนนี้โดยที่เขาไม่ได้รู้เห็นอะไรเลย และพ่อค้ายาเสพติดต้องการที่จะจัดการผู้ที่เกี่ยวข้องและมีส่วนรู้เห็นทั้งหมดทิ้ง
แต่ก่อนที่มาร์ตี้จะถูกฆ่า เขาคิดแผนเอาตัวรอดขึ้นมาแบบฉิวเฉียดด้วยการเสนอ สถานที่ฟอกเงินที่ใหม่ให้กับพ่อค้ายาคนนี้ เพื่อแสดงว่าเขาบริสุทธิ์ และยังมีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องฆ่าเขา สถานที่นั้นคือชายฝั่งบ้านนอกที่ยาวยิ่งกว่าฟลอริด้า แถมมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวทุกปี และด้วยความบ้านนอก สรรพากรก็ไม่อยากจะเข้ามายุ่ง ที่แห่งนั้นก็คือ Ozark
ในตอนแรก เรื่องราวจะค่อยๆ เล่าถึงมาร์ตี้ เบิร์ด ว่าเขา มีปัญหาชีวิตอย่างไรบ้าง ในคราบที่ครอบครัวก็จะดูปกติสุขดี มีลูกชายคนเล็กและลูกสาวคนโต แต่ภรรยาของเขาแอบคบชู้กับชายอื่นอยู่ จนจู่ๆ ปัญหาในครอบครัวก็กลายเป็นเรื่องเล็กเมื่อพ่อค้ายาเสพติดสุดโฉดกำลังเอาปืนจ่อหัวพร้อมที่จะยิงเขา ทำให้มาร์ตี้ต้องพาครอบครัวของเขาทุกคน ย้ายจากเมืองกรุง ชิคาโก สู่บ้านนอกไกลปืนเที่ยง สาเหตุที่มาร์ตี้เลือกที่ โอซาร์ก ก็คือ แผ่นพับที่บังเอิญติดอยู่ในกระเป๋าของเขา ซึ่งเขาเองก็ไม่คิดหรอกว่า จะต้องมาฟอกเงินในกลางป่ากลางเขาแบบนี้ แต่นี่เป็นโอกาสรอดเพียงหนึ่งของเขาและครอบครัว เพราะฉะนั้นเขาต้องทำมันให้ได้
ดูจากพล็อตเรื่องคร่าวๆ แล้ว หลายๆ คน คงจะคิดถึงเรื่อง เบรคกิ้งแบด ที่อาจารย์สอนวิชาเคมีใกล้ตาย ต้องการหาเงินจนกลายมาเป็นคนทำยาเสพติดส่งออกรายใหญ่ ในโอซาร์กก็คล้ายๆ กัน แต่ด้วยการดำเนินเรื่องในซีซั่นแรก หลายๆ อย่าง ต่างกันมาก เลยไม่อยากจะให้นำมาเทียบกันสักเท่าไหร่ เพราะในเบรคกิ้งแบด เราจะเห็นตัวละครหลัก ค่อยๆ เติบโตไปเป็นอาชญากร
แต่ในโอซาร์กคือ คนที่มีเอี่ยวกับอาชญากรหรืออาชญากรรมอยู่แล้ว แล้วหาทางเอาตัวรอดเพื่อไม่ให้ตัวเองตายทั้งครอบครัว โดยนายมาร์ตี้เนี่ยเป็นคนที่ค่อนข้างจะใจเย็น และเป็นผู้ชายประเภทที่บ้างานจนเมียตัวเองไปมีชู้ ความสนุกมันเลยอยู่ที่ว่านายมาร์ตี้คนนี้ จะจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างไร ในเมื่อเขาต้องมาฟอกเงินก้อนโตในบ้านนอกแบบนี้
ความสนุกต่อมาก็คือ ในการจะฟอกเงินเนี่ย มันจะต้องหาทางทำธุรกิจถูกกฏหมาย เพื่อนำเงินผิดกฏหมายไปเข้าระบบแล้วเปลี่ยนเป็นเงินถูกกฏหมายได้ นั่นคือนิยามง่ายๆ ของการฟอกเงิน แต่ในใจกลางบ้านนอก ที่จะมีนักท่องเที่ยวมาเฉพาะฤดูท่องเที่ยว แถมยังเป็นบ้านนอกกลางป่ากลางเขา มันจะหาธุรกิจที่ทำเงินเยอะๆ อย่างไร? มันทำให้เราคิดตามและลุ้นไปกับมาร์ตี้ว่า จะต้องทำอะไรยังไงบ้างในการฟอกเงิน ซึ่งเอาจริงๆ แล้ว มันก็ไม่ได้โชว์ หรือแสดงให้เห็นถึงวิธีการจริงๆ มากขนาดนั้น เพราะเรื่องราวจริงๆ มันเล่าลงลึกไปยังปมดราม่า ของแต่ละตัวละครในเรื่องต่างหาก
โดยในซีซั่นแรก หนังถ่ายทอดสดขอบอกเลยว่า ช่วงแรกค่อนข้างที่จะดำเนินเรื่องได้อืดอาดและยืดเยื้อมาก มันจะค่อยๆ เล่าแบบค่อยๆ เป็นค่อยไป ไม่ได้น่าติดตามอะไรขนาดนั้น แต่นั่นมันก็ทำให้เราเข้าใจตัวละครแต่ละตัวในเรื่องได้ดี ว่าเป็นใคร มาจากไหน ต้องการอะไร แล้วจะเข้ามามีบทบาทอย่างไรในการฟอกเงินก้อนโตครั้งนี้
แม้ตัวละครจะไม่เยอะมากเท่าไหร่ แต่ขอบอกเลยว่า น่าสนใจ และเป็นแรงขับเคลื่อนความน่าดูของเรื่องได้แทบทุกตัวละครเลยทีเดียว เช่น เจ้าของบ้านที่มาร์ตี้ย้ายเข้ามาอยู่ เป็นชายแก่ที่ชื่อว่าบัดดี้ ป่วยและใกล้ตายเลยเปิดบ้านให้เช่าราคาถูกมาก แต่ข้อแม้ก็คือบัดดี้จะอยู่ในชั้นใต้ดินของบ้าน เป็นอีก 1 ตัวป่วนที่กลับมามีบทบาทสำคัญในซีซั่น 2 อย่างไม่น่าเชื่อ หรืออย่างตัวภรรยาของมาร์ตี้เอง ที่ทำผิดกับสามีไว้ด้วยการแอบคบชู้กับชายอื่น
ทำให้เธอกลายเป็นอีก 1 ปัญหาคาใจของมาร์ตี้ ที่จะต้องแก้ทั้งปัญหาครอบครัว และปัญหาในการหาทางฟอกเงินก้อนโต ในเมื่อการที่จะหาธุรกิจที่ทำเงินเยอะๆ ได้ในบ้านนอก เพื่อฟอกเงิน มันก็ต้องไปมีกระทบกระทั่งกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ที่อยู่มาก่อน ซึ่งมาร์ตี้เองก็ดันไปขัดแข้งขัดขากับผู้มีอิทธิพลในนี้ มันจึงยิ่งเป็นความกดดันและทำให้เราคิดว่า มันจะเป็นอย่างไรต่อไปกันแน่
แต่ในซีซั่นที่ 1 อะไรหลายๆ อย่าง ดูเนิบนาบเกินไป และบทของบางตัวละคร หรือหัวข้อบทพูดมันดูน่าเบื่อ ทำให้กราฟความสนุกของเรื่องในช่วงตอนที่ 1-8 มันขึ้นๆ ลงๆ อย่างมาก เดี๋ยวก็ลุ้น น่าติดตาม เดี๋ยวก็น่าเบื่อ อะไรก็ไม่รู้ มันเป็นแบบนี้ตลอด แต่ความพีคจริงๆ จะไปอยู่ที่ตอนท้ายๆ ซึ่งทำเอาเราคาดไม่ถึงและถึงกับอ้าปากเหวอไปเลยทีเดียว
จุดเด่นในซีซั่นนี้
จุดเด่นที่เห็นได้ชัดอีกอย่าง นอกจากตัวละครและพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ คงจะเป็นทางด้านงานภาพที่นำเสนอได้ดี และค่อนข้างที่จะเล่นอารมณ์กับคนดูได้ในหลายๆ ฉาก มันเป็นความ Cinematography ที่นำเสนอออกมาให้เราเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ของซีรีส์ได้ดีมากยิ่งขึ้น และทั้งเรื่องของซีรีส์ เขาจะเกรดสีภาพให้ออกโทนสีฟ้าๆ หม่นๆ ดูขมุกขะมัว เพื่อสื่อให้เรารู้สึกว่าในความที่ดูสบายตา แต่มันก็มีความไม่น่าไว้ใจแฝงอยู่
สรุป
Season 1 ทำออกมาได้ดีและถือเป็นการเปิดเรื่องความดาร์ค Drama ที่สนุก แต่ก็ยังไม่สุดเท่าไหร่ ด้วยความน่าสนใจของตัวเรื่อง และเซ็ตอัพของเรื่องทำได้ดี แต่บทพูด หรือดราม่าบางอย่างที่ดูยัดเยียดและน่าเบื่อเกินจำเป็น เลยจะขอให้คะแนนซีซั่นนี้เพียง 7.5 คะแนน ถ้าหากนำไปเทียบกับ Breaking Bad แล้วล่ะก็ ขอบอกว่ามันเทียบไม่ได้และเป็นคนละแบบกันเสียมากกว่า แต่ถ้าหากใครชอบแนวนี้ และทนดูได้ ขอบอกว่าควรทนดู เพราะอย่างที่เกริ่นไป นี่คือปฐมบทแห่งความหายนะ ความยุ่งเหยิง และความเข้มข้นระดับสูงสุดในซีซั่นที่ 2 ต่างหากล่ะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น